วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

Mirage - Baseball Club

field

คำศัพท์กีฬาเบสบอล

คำศัพท์กีฬาเบสบอล (Baseball)
 
 
คำศัพท์ คำอ่าน คำแปล / ความหมาย
ADJUDGE
อะจัดจ คำตัดสินของผู้ตัดสิน
ADVANCE แอดวานซ การได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าจากการกระทำที่ผลิดพลาดของฝ่ายรับ เช่น
- การพิทซ์เป็นบอลที่ 4 ของ Pitcher
- การขว้างลูกออกนอกสนามแข่งขันของฝ่ายรับ
APPEAL อะพีล การกระทำของฝ่ายรับที่เรียกร้องสิทธิจากการทำผิดกติกาของฝ่ายรุก
BALK บอค การทำผิดกฎของพิตเชอร์  โดยมีรันเนอร์อยู่ที่เบส มีผลทำให้รันเนอร์ได้แอ๊ดว๊านซ์  หนึ่งเบส
BALL บอล ลูกบอลที่พิตไม่เข้า Strike Zone และผู้ตีไม่ตี
BASE เบส คือจุดแต่ละจุดทั้ง 4 จุด ที่นันเนอร์จะต้องแตะเพื่อทำรัน
BASE COACH เบสโคช สมาชิกของที่แต่งกายชุดเบสบอลยืนอยู่ใน Coach Box
BASE ON BALL เบส ออน บอล คือ Batter ได้รับสิทธิ์เข้าครอบครองเบสจากการได้รับพิตเป็น 4 บอลในขณะที่จะตี
BATTER แบทเทอร์ คือ  ผู้เล่นฝ่ายรุกที่เข้ามายืนอยู่ใน Batter Box
BATTER-RUNNER แบทเทอร์รันเนอร์ คือ Batter ที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นการตีและกำลังวิ่งเพื่อเข้าครอบครองเบสหนึ่ง
BATTERY แบทเทอร์รี่ คือ  ผู้เล่นพิตเชอร์ และแคตเชอร์
BATTER’S BOX แบทเทอร์ บอคซ คือบริเวณที่กำหนดให้ผู้เล่น  ผู้เล่นสำรองและสมาชิกของทีมที่แต่งกายอยู่ในชุดแข่งขัน  ขณะที่ไม่ได้อยู่ในสนามแข่งขัน
BENCH / DUGOUT เบนช์ / ดั๊กเอ้าท์ คือ ที่พักที่จัดไว้ให้ผู้เล่น  ผู้เล่นสำรองและสมาชิกของทีมที่แต่งกายอยู่ในชุดแข่งขัน ขณะที่ไม่ได้อยู่ในสนามแข่งขัน
BUNT บันท คือ  การโดยไม่ได้สวิง  แต่เป็นการตั้งในใจเอาไม้ตีกระทบลูกบอลช้าๆ ภายในสนาม
CALLED GAME คอลเกม การ ประกาศจบการแข่งขันก่อนครบ  9 อินนิ่งของประธานผู้ตัดสิน เนื่องจากมีการทำคะแนนห่างกันมากตามจำนวนที่ได้กำหนดไว้  หรือมีกรทำผิดระเบียบ กติกาการแข่งขัน
CATCH แคทซ การรับลูกบอลที่ลอยอยู่ในอากาศของผู้เล่นฝ่ายรับด้วยมือหรือถุงมือไว้ได้อย่างมั่นคง
CATCHER แคชเชอร์ ผู้เล่นฝ่ายรับที่ยืนอยู่ในตำแหน่งหลังโฮมเพลท
CATCHER’S BOX แคชเชอร์บอคซ บริเวณที่แคตเชอร์จะต้องยืนอยู่จนกว่าพิตเชอร์จะปล่อยลูกบอล
CLUB คลับ องค์กรที่เป็นสมาชิกของสมาคมโดยมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลรวมกันเป็นทีมทำหน้าที่จัดสนามและอุปกรณ์การแข่งขัน
COACH โคช คือ สมาชิกของทีมที่แต่งกายชุเบสบอลแต่งตั้งโดยผู้จัดการทีมให้ทำหน้าที่ตามที่กำหนด
COACH BOX โคชบอคซ เขตกำหนดให้ผู้ฝึกสอนของฝ่ายรุกเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในสนาม
DEAD BALL เดดบอล ลูกบอลที่ไม่ได้อยู่ในการเล่นเนื่องจากหยุดการเล่นชั่วคราวตามกติกา
DEFENSE ดิเฟนซ ทีมหรือผู้เล่นอื่นๆ ของทีมที่เป็นฝ่ายรับ
DOUBLE HEADER ดับเบิล เฮดเดอร์ การแข่งขันตามปกติ  2 เกมติดต่อกัน
DOUBLE PLAY ดับเบิล เพล การเล่นของรับที่ put out ผู้เล่นฝ่ายรุกสองคนได้จากการเล่นที่ต่อเนื่องกัน
FAIR BALL แฟร์บอล การตีลูกเข้าไปในเขตดีของสนามอยู่ระหว่าง โฮมเพลทและเบสหนึ่งกับเบสสาม
FAIR TERRITORY แฟร์เทอร์ริทอรี คือ เขตดีภายในสนามแข่งขัน  อยู่ระหว่างโฮมเพลทและเบสหนึ่งกับเบสสาม
FIELDER ฟีลด์เดอร์ คือผู้เล่นฝ่ายรับ
FIELDER’S CHOICE ฟีลด์เดอร์ชอยส์ การเลือกเล่นของฝ่ายรับที่จะทำให้ฝ่ายรับหมดสิทธิ์ในการทำคะแนนในรอบนั้น
FLY BALL ไฟลบอล คือ ลูกที่ตีและลอยสูงขึ้นไปในอากาศ
FORCE PLAY ฟอร์สเพล คือ  การที่รันเนอร์ต้องถูกบังคับให้เสียสิทธ์ในการครอบครองเบสเนื่องจากการเล่นของฝ่ายรุก
FOUL BALL เฟาลบอล ลูกบอลที่ตีตกนอกเขตดีของสนาม  คือยู่นอกเส้นจากโฮมเพลทถึงเบสหนึ่งตรงไปจนสุดสนาม และโฮมเพลทถึงเบสสามตรงไปจนสุดสนาม
FOUL TERRITORY เฟาลเทอร์ริทอรี่ ส่วนของสนามแข่งขันที่อยู่นอกเส้นเบสหนึ่งและเบสสามยาวต่อไปถึง รั้งที่สุดสนาม และแนวตั้งฉากขึ้นไปในอากาศ
FOUL TIP เฟาลทิบ ลูกที่แฉลบจากไม้ตีไปที่แคตเชอร์และสามารถรับลูกไว้ได้และนับว่าเป็น Strike และถือว่าลูกอยู่ในการเล่น
GROUND BALL เกรานดบอล ลูกบอลที่ถูกตีกลิ้งหรือกระดอนอยู่บนพื้น
HOME PLATE โฮมเพลท แผ่น ยางหัวสี่เหลี่ยมที่เป็นเขตสมมุติของ Strike Zone และเป็นจุดสุดท้ายในการครอบครองของฝ่ายรุกที่ต้องครอบครองให้ได้จึงจะนับว่า ได้คะแนน
HOME TEAM โฮมทีม คือทีมเหย้า
ILLEGAL อิลลีเกิล การทำผิดกติกา
INFIELDER อินฟิลเดอร์ ผู้เล่นฝ่ายรับที่มีตำแหน่งใน เขตสนามใน
INFIELD FLY อินฟิลไฟล ลูกที่ถูกตีลอยอยู่เหนือเขตสนามส่วนใน  ซึ่งสามารถรับไว้ได้โดยง่ายจากผู้เล่น ในเขตสนามในยกเว้นลุกดาด
(line drive) และลูกที่เกิดจากการบั้นท์ (bunt)
IN FLIGHT อินไฟลท ลูกบอลลอยอยู่ในอากาศ  ที่เกิดจากการตีขว้าง หรือพิดโดยลูกบอลยังไม่ได้ถูกพื้น  หรือสิ่งอื่นใดนอกจาก Fielder
IN JEOPARDY อินเจพเพอร์ดี เป็นคำที่ใช้เพื่อบอกว่า ลูกกำลังอยู่ในการเล่นที่ผู้เล่นอาจถูกทำให้เอ้าท์ได้
INNING อินนิ่ง สัดส่วนของการแข่งขันที่สองทีมผฃัดกันเป็นฝ่ายรุกและฝ่ายรับ
INTERFERENCE อินเทอะเฟียเร้น การรบกวนการแข่งขันหรือการเล่นของผู้เล่นในสนามอาจเกิดจากการกระทำของฝ่ายรุก ฝ่ายรับ ผู้ตัดสินและผู้ดู
LEAGUE ลีก การที่สโมสรต่างๆ มารวมกันจัดเตรียมโปรแกรมการแข่งขันและร่วมกันกำหนดระเบียบ  กติกา  ของการแข่งขันขึ้นมา
LEAGUE PRESIDENT ลีกเพรซซิเด้นท์ ประธานฯ  ผู้ทำหน้าที่นำกติกามาบังคับใช้ควบคุมการแข่งขัน
LEGAL ลีเกิล สิ่งที่ถูกต้องตามกติกา
LIVE BALL ไลฟวบอล ลูกบอลกำลังดำเนินอยู่ในการแข่งขัน
LINE DRIVE ไลนไดรฟว์ ลูกดาด  ลูกที่ตีแล้วพุ่งตรงจากไม้ตีออกไปเป็นมุมประมาณ 30-40 องศา โดยไม่ถูกพื้น
MANAGER แนเนเจอร์ ผู้จัดการทีม
OBSTRUCTION เอิบสทรัคชั่น การกระทำของฝ่ายรับซึ่งไม่ได้ครอบครองลูกบอล แต่ขัดขวางการเล่นของผู้เล่นฝ่ายรุก
OFFENSE อะเฟนซ์ ทีมหรือผู้เล่นฝ่ายรุก
OUT เอาท คือผู้เล่นฝ่ายรุกที่ถูกทำให้ออกจากการแข่งขัน
OUT FIELDER เอาทฟีลดเดอร์ คือ ผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งสนามส่วนนอก
OVER SLIDE โอเวอร์สไลด์ คือ การกระทำของผู้เล่นฝ่ายรุกเมื่อสไลด้เข้าเบสแล้วพุ่งเลยออกไป  ไม่สามารถหยุดอยู่บนเบสได้
PENALTY เพทเนิลที บทลงโทษผู้กระทำผิดกติกา
PERSON เพอร์เซิน ผู้เล่นหรือผู้ตัดสินไม่ว่าจะเป็นส่วนของร่างกาย เสื้อผ้า หรืออุปกรณ์
PITCH พิช ลูกบอลที่ส่งจาก พิชเชอร์ไปยังแบตเตอร์
PITCHER พิชเชอร์ ผู้เล่นฝ่ายรับที่กำหนดให้เป็นผู้เล่นพิชลูกไปยัง
แบตเตอร์
PIVOT FOOT พิฟเวิทฟุท เท้าที่แตะอยู่บนพิชเชอร์เพลทในขณะที่พิช
PLAY เพล คำสั่งของผู้ตัดสินที่สั่งเริ่มต้นการแข่งขัน หรือเริ่มเล่นต่อภายหลัง Dead Ball
PUT OUT พุทเอาท การกระทำของฝ่ายรับที่ส่งผลให้ฝ่ายรุกออกจากการเล่นในรอบนั้นๆ  เช่น
- การรับลูก Fly Ball ได้
- การมีลูกบอลในครอบครองแล้วแตะตัวผู้เล่นฝ่ายรุกในขณะที่ไม่ได้ครอบครองเบส
- การมีลูกในครอบครองแล้วแตะเบสบังคับก่อนผู้เล่นฝ่ายรุกจะมาถึง
QUICK RETURN ควิกรีเทิร์น การเจตนาอย่างชัดเจนที่จะพิชอย่างรวดเร็ว ขณะที่แบทเทอร์ยังไม่พร้อมทำให้เสียหลักอันเป็นการพิชที่ผิดกติกา
RETOUCH รีทัช การกระทำของรันเนอร์ที่จะกลับมาแตะเบสเมื่อจำเป็นตามกติกา
RUN-DOWN รันดาวน์ การกระทำของฝ่ายรับที่จะให้ผู้เล่นฝ่ายรุกที่อยู่ระหว่างเบสหมดสิทธิ์ในการทำคะแนน
RUNNER รันเนอร์ ผู้เล่นฝ่ายรุก (ผู้ตี) ที่ได้ครอบครองเบสแล้ว
RUN / SCORE รัน / สคอร์ หน่วยนับของคะแนนที่ผู้เล่นฝ่ายรุกทำได้
SAFE เซฟ การขานของผู้ตัดสินที่ให้ฝ่ายรุกมีสิทธิ์ครอบครองเบสจากการที่กำลังพยายามเข้าครอบครอง
SET  POSITION เซทพะซีชั่น ท่าตั้งต้นท่าหนึ่ง  จากสองท่าของการพิชที่ถูกต้อง
SQUEEZE PLAY สควีชเพล คำที่ใช้เรียกการเล่น  เมื่อผู้เล่นที่เบสสามพยายามทำคะแนนโดยผู้ตีทำบั้นท์
STRIKE สไทรค์ การขานของผู้ตัดสิน  เมื่อพิชเชอร์ขว้างลูกเข้า สไตรค์โซนหรือเมื่อผู้ตีทำการตีไม่ว่าจะถูกลูกหรือไม่
STRIKE  ZONE สไทรค์ โซน พื้นที่เหนือ Home Plate สูงประมาณลิ้นปี่ของผู้ตี  และต่ำประมาณหัวเข่าของผู้ตี
SUSPENDED  GAME ซะสเตพนดเกม คำที่ใช้เรียกการแข่งขันซึ่งกำหนดให้แข่งขันต่อจนจบภายหลังการแข่งขันเดิม
TAG แทก การกระทำของฝ่ายรับแตะเบสด้วยร่างกาย มือ หรือถุงมือ ขณะที่ครอบครองลูกบอลไว้ได้อย่างสมบูรณ์
THROW โธร การกระทำที่ส่งลูกบอลออกไปจากมือหรือแขน  ไปยังเป้าหมายซึ่งแตกต่าง จากการพิช
TIE  GAME ไทเกม การมีคะแนนเท่ากัน  คือ  เมื่อการเล่นปกติและทั้งสองทีมมีรันเท่ากัน
TIME ไทม เวลานอกคือ  การประกาศของผู้ตัดสินหยุดการแข่งขันในระหว่าง Dead Ball
TOUCH ทัช การสัมผัสส่วนต่างๆของร่างกาย  เครื่องแต่งกาย หรืออุปกรณ์ของผู้เล่น  หรือผู้ตัดสิน
TRIPLE  PLAY ทรีพเพิลเพล การเล่นของฝ่ายรับที่ทำให้ฝ่ายรุก Out  3 คนจากการเล่นที่ต่อเนื่อง
WILD PITCH ไวลดพิช การพิชที่สูง  ต่ำ  หรือห่างจากโฮมเพลทที่แคตเชอร์ไม่สามารถรับลูกบอลได้
WIND-UP-POSITION วินดอัพโพซิชั่น การพิตลูกอีกท่าหนึ่งของพิชเชอร์

ทักษะการเล่นเฉพาะ ตำแหน่ง OUT FIELDER

OUT FIELDER
 
 
          ผู้เล่น Out Field เป็นคนสุดท้ายในสนามแล้วถ้าลูกหลุดจาก out field ไป ก็ไม่มีใครผู้เล่น Out field จึงต้องวิ่งเร็ว แม่นยำในการรับลูกและมีพลังหัวไหล่ในการขว้างลูกมาก ความแข็งแรงและทักษะความสามารถในการขว้างลูกของ out field ไม่ใช่การขว้างไกล แต่ลูกสูงมาก ผู้เล่น out field ควรจะขว้างลูกให้ขนานกับพื้น มากที่สุดถึงจะตกพื้นเด้งหนึ่งครั้งก็ถือว่าดีกว่าลูกโด่งสูง ผู้เล่นตำแหน่ง Out Field ต้องฝึกขว้างลูกให้ขนานพื้นอยู่เป็นประจำ เหมือนกับ Pitcher เพราะว่ามีเขตความรับผิดชอบกว้างมากกว่าผู้เล่น infield มาก จึงต้องฉลาดคิดอ่านเกมตลอดเวลาและต้องสังเกตหรือจำผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามได้ ว่าตีลูกอย่างไร ออกทางไหนต้องปรับตำแหน่งการยืนของตัวเองให้เหมาะสมตลอดเวลา
 
          เมื่อลูกถูกตีออกมา ลูกจะวิ่งด้วยความเร็วมาก จังหวะเวลา หรือก้าวแรกของผู้เล่น Out Field จึงมีความสำคัญที่สุด เพราะถ้าก้าวผิดพลาดลูกอาจจะตกก่อนหรือลอยผ่านไปได้ง่าย ผู้เล่น out field จึงต้องอ่านทิศทางบอลให้แม่นยำ และตัดสินใจให้ทันท่วงที เพราะก้าวแรกมีความสำคัญมาก
 
          ทักษะของ Out Field ก็คือ การรับ-ขว้าง ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว แต่เพราะความกว้างของพื้นที่ ทำให้ out fielder ต้องรีบคืนบอลกลับมาเร็วที่สุด จึงมีคำแนะนำ เพิ่มเติมดังนี้ เช่น การรับลูก Ground Ball แล้วต้องการคืนบอลไปที่ Home เร็วที่สุด จึงต้องปฎิบัติดังนี้
   
- ออกตัวให้เร็วที่สุด
- ชะลอความเร็วลงเพื่อรับบอล
- พยายามรับบอลให้ได้ในจังหวะเท้าขวาอยู่หน้า
- และขว้างบอลทันทีในจังหวะก้าว เท้าซ้าย  บางสถานการณ์ลูกมาเร็วมาก  และไม่แน่ใจว่าจะรับได้โดยง่ายหรือไม่  ผู้เล่นในตำแหน่ง OF อาจต้องคุกเข่าลงใช้ลำตัวบังบอลไว้ไม่ให้ลูกหลุดออกไป
 
FLY  BALL
 
          ในการรับลูก Fly Ball ผู้เล่น OF จะต้องจับตามอง Batter สังเกตการณ์ออกไม้ของเขาเพื่อจะได้คาดเอาได้ว่าลูกควรจะถูกตีออกมาในทิศทาง ใด  เมื่อลูกถูกตีออกมา  ให้เคลื่อนไปหาจุดลูกตกให้เร็วที่สุด (บางครั้งอาจจะวิ่งไปโดยไม่ได้มองบอลก็ได้  ถ้าสามารถคำนวณจุดตกได้แม่นยำ )  พยายามไปรออยู่หลังลูกตกเล็กน้อย  เมื่อรับบอลแล้ววิ่งพุ่งไปข้างหน้าเพื่อสะสมน้ำหนักทำให้ขว้างบอลได้ไกลขึ้น
 
 
 
TIPS COVER
     
 
          ผู้เล่น OF จะต้องคิดตลอดเวลาว่าถ้าหากมีการเล่นหรือขว้างบอลกันใน infield แล้วลูกหลุดจะต้องมีคนไปรอรับ ซึ่งนั่นก็คือหน้าที่ของ OF นั่นเอง เช่น เมื่อมีการ Bunt , Pitcher เก็บบอลได้แล้วขว้าง B1 แต่ลูกหลุดออกมา ผู้มีหน้าที่ back up ก็คือ ผู้เล่นตำแหน่ง RIF
          ดังนั้นผู้เล่น OF จะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะเข้ามา Back up ทั้ง infield และ OF ด้วยกันเอง

ทักษะการเล่นเฉพาะ ตำแหน่ง SHORT STOP

SHORT STOP
 
 
          ผู้เล่นตำแหน่ง Short Stop (SS) จะมีบริเวณรับผิดชอบกว้างมากที่สุดใน Field  จึงต้องมีความเร็ว  แล้วมีทักษะในการวิ่งรับลูก  ทั้งซ้าย/ขวา  และต้องมีหัวไหล่ที่แข็งแรง  เพราะต้องขว้างลูกจากระยะไกลบ่อยๆ  มีลักษณะการเล่นหลายรูปแบบ  เหมือนผู้เล่น B2 เช่น DP / Pick Off , Hit&Run , Run&Hit , Cut Off , ส่งต่อ Sign  ฉะนั้นจึงมีการเล่นการเคลื่อนไหวคล้ายกัน  แตกต่างกันเล็กน้อยเพราะยืนอยู่คนละด้านของสนาม
 
 
ตัวอย่างเช่น  การ Cover Base ในการทำ DP
 
 
          ถ้าลูกถูกตีออกทาง B2 หรือ B1 ตำแหน่ง Short Stop (SS) จะต้องไปรอหลัง B2 เพื่อรับลูกแล้ว แตะเบส แล้วเสต็ปออกให้ทางซ้าย ให้พ้นทาง Runner แล้วขว้างบอลถ้าลูกถูกรับได้จากด้านในสนามให้ SS รอรับบอลข้างใน เรียกลูกเมื่อรับบอลแตะเบสแล้วเสต็ปหนีเข้าด้านใน แล้วขว้างลูก
 
          เมื่อ SS รับลูกได้ใกล้ B2 ให้วิ่งพร้อมกับโยนลูกเบสบอลให้ B2 รับให้ง่ายๆ (เหมือนที่อธิบายการเล่นของ B2 )
 
 

 
Pick Off Play ของ SS
 
          การเล่น Pick off ของ SS จะทำได้ง่ายกว่า B2  เพราะ Runner จะมองไม่เห็น SS เนื่องจากยืนอยู่ด้านหลัง

          ในการเล่น Pick off ไม่จำเป็นต้องทำ out เสมอไป  อาจจะทำเพื่อให้ Runner อยู่ใกล้ๆ Base ก็ได้ในการทำ Pick off ที่ B2  จะทำได้ยากกว่า B1 จึงต้องฝึกฝนและมีการประสานงานอย่างดี

ทักษะการเล่นเฉพาะ ตำแหน่ง 3rd BASE MAN

3rd BASE MAN
 
 
          ในเขตรับผิดชอบของ B3 จะเป็นจุดที่ลูกมาเร็วมาก และบางครั้งเมื่อมีการ Bunt ก็จะต้องวิ่งเข้าเก็บอย่างเร็วที่สุด ผู้เล่น B3 จึงต้องเป็นคนไม่กลัวบอลและมีความเร็วในการวิ่งเข้าเก็บ Bunt
 
 
 
รูปลักษณะการรับบอลจาก Catcher เมื่อมี Runner วิ่งมาจาก B2
 
 
 
TIPS
     
 
          No Out หรือ 1 Out และมี Runner ที่ B2 อาจมีการเล่น Bunt , ผู้เล่น B2 ต้องดู Runner ให้ดีๆ ถ้า Runner พยายามวิ่งเข้า Home ต้องบอกให้เพื่อนร่วมทีมรับรู้ และวิ่งเข้าเก็บลูกอย่างเร็วที่สุดบางกรณีเช่น 1,2 มีคนยังไม่มี out มีโอกาส Bunt มากโดยปกติ B3 จะต้องวิ่งเข้าเก็บ Bunt ให้เร็วที่สุดแต่ถ้า Pitcher หรือ B1 เก็บได้ เราจะต้องกลับ B3 เร็วที่สุด

ทักษะการเล่นเฉพาะ ตำแหน่ง 2nd BASE MAN

 2nd Base Man
 
 
          ผู้เล่น B2 มีความสำคัญมากต้องอ่านเกมการบุกของคู่ต่อสู้ได้ชัดเจนมีการตัดสินใจที่ดี และเหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อมี Runner บนเบสหลายคนซึ่งมีความยากเพิ่มขึ้นและมีหน้าที่เพิ่มขึ้น เช่น การขโมย Run&Hit , Hit& Run , Bunt , Cut off , ส่งต่อ , Double Play
 
 
ขโมย
          เมื่อ Runner ขโมยผู้เล่น B2 จะต้องตัดสินใจให้เร็ว เคลื่อนที่มา Cover B2 เพื่อรับลูกจาก Catcher ( แต่ต้องระวังบางที Batter อาจจะตีลูกออกมาก็ได้ จึงควรเคลื่อนตัวช้าๆ ก่อนจนแน่ใจว่าลูกเข้า Glove Catcher จึงวิ่งอย่างเร็วเข้า Cover B2) ในการยืน Cover Base จะต้องยืนให้มีช่องทางที่ Runner สามารถ Slide เข้าได้ มีความสะดวกและเราสามารถรับลูกและทำ Touch Out ได้สะดวกเช่นเดียวกัน  
 
 

 
Double Play
         เมื่อลูกถูกตี ออกทาง SS หรือ B3 ผู้เล่น B2 ต้องวิ่งไปรออยู่ที่เบสก่อน ถ้าลูกอยู่ไกล เราถึง Base ก่อน ก็ยืนรอรับลูกเหมือน B1 ถ้าอยู่ไกล และลูกมาเร็ว ก็รีบเหยยีบเบสพร้อมกันกับเสต็ปเท้าออก (ตามตัวอย่าง ) แล้วขว้างลูกไปยัง B1  
 
ลูกตีออก B2  ต้องรับลูก  ให้ได้ก่อน  อย่าห่วงเบส  แล้ววิ่งไปที่ B2  พร้อมกับโยนลูกให้ SS รับลูกได้ง่ายที่สุด
 

 
ทักษะการเล่นเฉพาะตำแหน่ง cut off play
 
 
          เมื่อถูกตีออกด้านขวาของสนาม  เป็นหน้าที่ของ B2  ต้องออกไป Cut Off โดยพยายามจัดระยะให้พอเหมาะ  กับกำลังของผู้เล่นตำแหน่ง Right Field ส่งเสียงให้ได้ยินและยืนให้ระยะกางแขนทั้งสองข้าง  เป็นที่สังเกตได้ง่ายของผู้เล่น Right Field เมื่อรับลูกแล้วจึงค่อยสเต็ปหมุนตัวขว้างกลับ Home
 

 
 
TIPS COVER
     
   
     
 
          เมื่อผู้เล่น B2 รับลูกแล้วจะต้องพยายามเสต็ปหนี Runner ( ไปข้างหน้า / ข้างหลัง) และทำการขว้างไปยัง B1 ให้เร็วที่สุด บางครั้งรับลูกไกลจาก Base 2 ต้องหมุนตัวและเสต็ปเพื่อขว้างบอลไปยัง SS ที่อยู่บน B2
 
   

ทักษะการเล่นเฉพาะ ตำแหน่ง 1st BASE MAN

1st BASE MAN
 
 
          ผู้เล่น 1ST Base จะเป็นผู้เล่นที่ได้รับลูกมากที่สุดในการแข่งขัน  ผู้เล่นที่มีความสามารถรับลูกได้ทุกรูปแบบจะทำให้เพื่อนร่วมทีมมีความมั่นใจ มาก  เพราะบางสถานการณ์บีบให้รีบขว้าง  ลูกอาจจะวิ่งไปไม่ดี แต่ 1st Base ก็สามารถรับได้

          ในการเล่น ผู้เล่น 1st Base ต้องยืนรอพร้อมจะรับลูกอยู่หน้าเบสก่อนแล้ววิ่งใช้ฟุตเวอร์ค , สเต็ป ไปรับลูกพร้อมกับใช้เท้า ( เท้าใดเท้าหนึ่ง) แตะเบสตามแต่ทิศทางของลูกที่ขว้างมา (ตามรูป)
 
 
          เมื่อมี Runner ผู้เล่น B1 ต้องมีงานทำเพิ่มมากขึ้น  เช่น  เตรียมเล่น Pick Off หรือต้องปรับการยืนให้เหมาะสมกับแผนการเล่น
 
 
          เตรียมเก็บลูก Bunt , เตรียมรับลูก Check Base จาก Pitcher บางสถานการณ์ B1 ต้องออกไปรับลูกไกลจาก Base แล้วเข้ามาไม่ทัน Pitcher จะเข้ามาช่วย cover แทนผู้เล่น B1 จะต้องโยนลูกให้ Pitcher จึงต้องฝึกบ่อยๆ  ในการโยนลูกให้ดีๆ  เพราะมีโอกาสบ่อยครั้งในการแข่งขัน  ระหว่างรับบอล  ไม่ต้องห่วงเบส  ไม่ต้องรีบ  พยายามรับบอลให้ได้ก่อนแล้ววิ่งตรงไปที่ B1  พร้อมกับโยนลูกให้ Pitcher พยายามใช้ขาช่วย  ส่งบอลให้ลูกพุ่งไปหา Pitcher ให้รับได้ง่ายๆ

          นอกจากนี้ผู้เล่น B1  ต้องทำหน้าที่เป็นตัว  Cut Off ในกรณีที่ลูกถูกตีออกไป Out Field และต้องการคืนบอลมายัง Home โดยเฉพาะลูกที่ตีออกมาทาง Right Field

ทักษะการเล่นเฉพาะ ตำแหน่ง PITCHER

PITCHER พิชเชอร์
 
 
          ผู้เล่นในตำแหน่งพิชเชอร์มีความสำคัญต่อเกมการแข่งขันมากไม่ใช่แค่เพราะเกม จะเริ่มจากบอลที่ถูกพิชเชอร์ขว้างมาเท่านั้น แต่เกิดจากการสร้างสรรค์เกม แผนการเล่นในการป้องกันการตีของคู่ต่อสู้ซึ่งเริ่มมาจาก
 
 
การขว้างบอลของพิชเชอร์
 
          ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร ทีมใดมีพิชเชอร์ที่ดี เกมส์การแข่งขันของทีมก็มักจะดีด้วย ในอดีตผู้เล่นระดับอาชีพยอมรับว่าพิชเชอร์มีผลต่อการแข่งขันมากถึง 70% แต่ในปัจจุบันกลับมีผลมากยิ่งขึ้นถึง 80% เป็นการตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของพิชเชอร์ได้อย่างชัดเจนในการแข่งขัน กล้ามเนื้อให้ทำงานหนักเป็นระยะเวลานานจะเกิดบาดเจ็บได้ง่าย และในหนึ่งฤดูกาลแข่งขัน ก็ต้องเล่นมากกว่าหนึ่งเกมแน่นอน ในระยะยาวการใช้หรือมีพิชเชอร์คนเดียวคงไม่เป็นเรื่องดี
 
          ปัจจุบันการแข่งขัน ใช้ความคิด มีกลยุทธ์ พลิกแพลงในการเล่นมากมาย และผู้ตีก็มีพัฒนาการก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วทีมจึงมีความต้องการพิชเชอร์ที่ มีความเหมาะสมกับการเล่นที่แตกต่างกัน ในการแข่งขันเราจึงแบ่งพิชเชอร์ออกเป็น 3 ประเภทคือ
 
  Starter : คือพิชเชอร์ที่ทำหน้าที่เป็นคนแรก
   
  Relive :  คือพิชเชอร์ที่เข้าเปลี่ยนเป็นคนต่อมา
   
  Closer :  คือพิชเชอร์ที่ทำหน้าที่เป็นคนสุดท้าย
   
          จากความสำคัญของภาระหน้าที่ที่หนักกว่าคนอื่นๆ  ในทีม  ทั้งทางร่างกายและจิตใจ  ผู้เล่นตำแหน่งพิชเชอร์จึงต้องฝึกฝนอย่างหนักมีวินัยเคร่งครัดต่อตัว เองอย่างมาก  พิชเชอร์ต้องมีร่างกายแข็งแกร่งโดยเฉพาะส่วนล่างของลำตัวมีความสำคัญต่อการ ขว้างลูกมาก  การฝึกฝนของพิชเชอร์จึงแตกต่างไปจากคนอื่นๆ บ้าง
 
ข้อแนะนำ
 
          หลังจากผ่านการอบอุ่นร่างกายแล้ว  พิชเชอร์ต้องวิ่งเร็วระยะประมาณ  70-80 เมตร
วันละ 10-15 เที่ยว  เป็นอย่างน้อย  และอาจลดลงในวันก่อนการแข่งขัน
          ตัวอย่างการฝึกซ้อมของพิชเชอร์  เพื่อสร้างเสริมกล้ามเนื้อส่วนล่างให้มีความยืดหยุ่น  และแข็งแรง ( ปฏิบัติทุกเช้า  เริ่มเวลา  05.30-07.00 )
 
    วิ่ง 15 นาที
    ยืด ( Stressching)
    วิ่งเร็ว 80 เมตร 15-20 เที่ยว
    กล้ามท้อง  หลังและลำตัว
 
- Sit-up 30 x 2
- Back up 30 x 2
- Russian twist  30 x 2
- Push up  30 x 2
   
    ฝึกดึงยาง ( Tube Training )
    กระโดดข้าม / ลอด  ยาง 2 เส้น  ให้ยางสูงจากพื้นประมาณ 1 เมตร  พิชเชอร์เข้าไปอยู่ตรงกลางกระโดดข้ามออกมา แล้วลอดกลับเข้าไปกระโดดออกอีกด้านหนึ่ง แล้วลอดกลับเข้ามานับหนึ่งเที่ยวทำทั้งหมด  10  เที่ยวติดต่อกัน
    ยืนแยกเท้าให้กว้างกว่าไหล่  เพื่อนโยนลูกให้รับทั้ง ซ้าย ขวา  รวมกัน 20 ครั้ง
   
 
 

 
ปัจจัย 4 ของพิชเชอร์ ( 4C’s)
 
  1. Control  ( การควบคุม)
 
          พิชเชอร์นอกจากสามารถควบคุมลูกที่ขว้างออกไป  แล้วยังต้องมีความสามารถควบคุมตัวเองได้ดีอีกด้วย ในการควบคุมลูก  หรือการฝึกฝนให้ขว้างลูกต่างๆ  ได้อย่างแม่นยำเป็นหน้าที่  และเป็นสิ่งที่พิชเชอร์ทุกคนคร่ำเคร่งฝึกฝนอย่างหนักกันอยู่แล้ว  แต่การที่จะทำให้ลูกต่างๆ  ที่พิชเชอร์ฝีกฝนมามีประสิทธิภาพสูงสุดพิชเชอร์ จำต้องมีความสามารถในการควบคุมตัวเองที่ดีด้วย  ยิ่งในการแข่งขันที่มีความกดดันมาก  พิชเชอร์ยิ่งต้องควบคุมตัวเองให้มีความ “นิ่ง”  มากยิ่งขึ้น  ไม่ตื่นเต้นเกินไป  หรือไม่เสียใจเกินไป  การควบคุมตัวเองได้ดีก็จะทำให้ทำหน้าที่ได้ดี  ซึ่งส่งผลให้ทำการแข่งขันได้ดีด้วย
 
 
  2. Confidence ( ความเชื่อมั่น )
 
          ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ต้องมีความมั่นใจ เชื่อมั่น และรักษาความมั่นใจไว้ได้ตลอดเวลาไม่ว่า จะคับขันเข้าตาจนอย่างไรก็ยังรักษาความเชื่อมั่นไว้ได้ ความเชื่อมั่นนี้หมายรวมไปถึงความไว้ใจในเพื่อนร่วมทีมด้วย ความมั่นใจจะเกิดขึ้นได้จากการฝึกซ้อมจนมีความชำนาญ จนมั่นใจว่าเมื่อลงแข่งขันแล้วก็จะทำได้เหมือนกับตอนฝึกซ้อม ฉะนั้นพิชเชอร์จึงต้องทุ่มเทให้กับการฝึกฝนอย่างจริงจัง และฝึกทุกอย่างที่อาจเกิดในระหว่างการแข่งขัน เพื่อความมั่นใจว่าสิ่งที่ทำได้ในระหว่างฝึกซ้อมก็ย่อมทำได้ในระหว่างแข่ง ขันด้วย
 
 
  3. Consistency ( ความสม่ำเสมอ )
 
          พิชเชอร์จะต้อง “นิ่ง” มีความมั่นคงในจิตใจ ทั้งในการฝึกซ้อมและการแข่งขันการใช้ความคิดควบคุม ตัวเองให้มีจิตใจต่อสู้อยู่ตลอดเวลา แม้บางจังหวะจะมีการผิดพลาดไปบ้างก็ไม่เสียใน จมอยู่กับความผิดพลาดนั้น ไม่ลนลาน เมื่อเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ไม่ดีใจ จนกลายเป็นความประมาท พิชเชอร์จึงต้องสร้างความ “สม่ำเสมอ ในเรื่องกำลังใจความคิด และจิตใจที่จะพยายามต่อสู้เพื่อเอาชนะอยู่ตลอดเวลา
 
 
  4. Concentrate (สมาธิ)
 
          จิตใจและสมาธิของพิชเชอร์จะต้องอยู่กับเกมการแข่งขัน การขว้างลูกของตัวเอง การเผชิญหน้ากับผู้ตี โดยเฉพาะ เมื่ออยู่บนพิชเชอร์เพลทแล้ว จะไม่วอกแวกไปกับเสียงต่างๆ ที่อยู่รอบตัว พิชเชอร์ควรจะมีสมาธิอยู่กับการเล่น การขว้างลูก จนดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเสมือนเป็นเพียงความว่างเปล่า ไม่มีเสียง ไม่มีสี ไม่รู้สึก แม้กระทั่งความร้อนของอากาศที่รอบตัว คือต้อง “นิ่ง” ใจจดจ่ออยู่กับการคิด ควบคุมลูก การขว้างบอล นั่นคือ “สมาธิ” ที่พิชเชอร์ที่ดีจำเป็นต้องมีและเรียกใช้ได้ตลอดเวลา
 
 

 
ลักษณะการขว้างลูกของพิชเชอร์มี 4 แบบ คือ
1. Overhead  throw   การขว้างลูกแบบเหนือไหล่
2. Three quarter throw  การขว้างแบบเหนือไหล่เศษสามส่วนสี่
3. Side-arm throw การขว้างแบบด้านขว้างลำตัว
4. Underhand throw  การขว้างแบบต่ำกว่าไหล่
     
 
          ในการแข่งขันพิชเชอร์สามารถทำการขว้างลูกได้  2  วิธี  คือ แบบ Wind up position ( ไวด์ อัฟ โพซิชั่น ) เป็นท่าพื้นฐานของ พิชเชอร์  และแบบ Set position ( เซท โพซิชั่น )

          การขว้างแบบ  Wind – up  position เป็นท่าขว้างที่ให้ประสิทธิภาพมากที่สุด  แต่เมื่อมีรันเนอร์ (Runner) บนเบส  จะเป็นการเสียเปรียบมาก  ดังนั้นพิชเชอร์จึงต้องใช้การขว้างแบบ Set-position เมื่อมีรันเนอร์บนเบส  เพื่อเป็นการป้องกัน  การขโมยเบสของ  รันเนอร์ด้วย  ในการแข่งขันจริงการขว้างแบบ Set Position  ใช้มากกว่า 60% ขึ้นไป  พิชเชอร์จึงต้องฝึกฝนให้มีความชำนาญให้มากเข้าไว้
 
Wind-up Position
 
          การขว้างแบบ  Wind-up position ( สำหรับคนถนัดขวา  ส่วนคนถนัดซ้ายก็ทำกลับข้างกัน ) เริ่มจาก
 
  การยืนเตรียมพร้อม มือจับลูกอยู่ในโกรฟ ( Glove ) วางไว้ที่ประมาณหน้าอกตามสบายแต่ต้องนิ่งเท้าทั้ง 2 ข้างยืนอยู่บนแผ่นพิชเชอร์เพลท ยกแขนขึ้น เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อรวมน้ำหนักไว้ที่เท้าหลัง
   
  แล้วถ่ายน้ำหนักมาเท้าหน้าพร้อมยกขา ซ้ายขึ้นมาด้านหน้าสูงหรือต่ำก็ได้แต่อย่างน้อยให้ระดับต้นขาขนานกับพื้น บิดสะโพกให้ลำตัวหมุนไปมากที่สุด ระวังให้ลำตัวตั้งฉากกับพื้นตลอด ให้น้ำหนักตกที่ปลายเท้าขวา
   
  เริ่มถ่ายน้ำหนักไปข้างหน้าโดยทิ้งสะโพกไปหาแคชเชอร์
   
  วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระยะพอประมาณตาม แต่ถนัดมือเงื้อบอลขึ้น ลักษณะระดับให้เป็น ( T-position) ด้านข้างลำตัวหันไปยังแคชเชอร์และยังตั้งฉากกับพื้นอยู่
   
  ถ่ายน้ำหนักจากขวาไปซ้ายเริ่มขว้าง ลูกโดยการบิดส่วนล่างคือ ขา สะโพก เอว แล้วตามด้วยส่วนบนคือ ลำตัว ไหล่ ดึงแขนซ้ายลงมาช่วยเพิ่มแรงมือขวาเริ่มเคลื่อนไหวออกข้อศอกมาก่อนตามด้วยแขน ข้อมือจากจุดปล่อยบอลแขนลำตัว และขาจะเป็นเส้นตรงพลังงานของกล้ามเนื้อจะถ่ายทอดมาจากขาสู่ลำตัว แขน ข้อมือ และปลายนิ้ว ซึ่งจะส่งให้ลูกบอลวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงที่ปลายนิ้ว ออกแรงสะบัดลงให้มากที่สุดให้ลูกหมุนขึ้นด้านบนขาขวาพุ่งมาข้างหน้าตามแรง ส่งแล้ววางลงข้างลำตัว
 
 
  สุดท้ายคือเหวี่ยงแขนให้ยาวเลยลงไปที่ข้อเท้าหน้า (เป็นจังหวะ Follow Through ) สายตาจับอยู่ที่ มิทท์ (Mitt) ของแคชเชอร์
   
  พิชเชอร์เมื่องขว้างบอลไปแล้วก็คือผู้เล่นอินฟิลด์คนหนึ่งจึงต้องพร้อมที่จะรับลูกจากการตีทันทีที่ขว้างบอลไปแล้ว
   
          การใช้กล้ามเนื้อในการขว้างของพิชเชอร์ก็เหมือนกับการขว้าง-รับ  ตามปกติคือต้องบิดกล้ามเนื้อให้เกร็งมากที่สุด  ในจังหวะปล่อยบอลกล้ามเนื้อจะคลายตัวปล่อยพลังงานออกมาได้เต็มที่
 
 

 
การขว้างแบบ Set-Position (สำหรับคนถนัดขวา  ส่วนคนถนัดซ้ายก็ทำกลับข้างกัน)
  การยืน พิชเชอร์จะยืนโดยหันด้านข้างของลำตัวตรงไปยังแคชเชอร์
   
  มือจะอยู่ด้านหน้า สูงหรือต่ำก็ได้แล้วแต่ความถนัด แต่ต้องอยู่ที่เดิมเสมอ ปกติแล้วพิชเชอร์จะวางมือไว้ตามสบายประมาณบริเวณหน้าท้อง แขนงอเล็กน้อย เพราะเป็นท่าพื้นฐานที่เป็นธรรมชาติที่สุด
   
  เมื่ออยู่ในท่าพร้อมแล้วจะเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ ยกเว้น คอ และศรีษะ
   
  การเริ่มต้นขว้าง เริ่มด้วยการยกขาซ้ายขึ้นมาให้ระดับต้นขาขนานกับพื้นบิดสะโพกให้ลำตัวหมุนไป มากที่สุด ต่อไปก็ปฏิบัติเหมือนกับการขว้างแบบ Wind-up position
 
 

 
การ เช็คเบส Check Base
 
          เมื่อพิชเชอร์อยู่บนพิชเชอร์เพลท  พร้อมจะขว้างลูกแล้ว  แต่ต้องการขว้างลูกไปยังตำแหน่ง  เบสต่างๆ  สามารถทำได้ 2  วิธีคือ
 
          1. ยกเท้าขวาถอยหลังข้ามพิชเชอร์เพลท (พิชเชอร์ถนัดขวา)
 
          2. ก้าวหรือสเต็ปเท้าซ้ายตรงไปยังเบสที่ต้องการขว้างลูกไป  ให้การเคลื่อนไหวเป็นไปในจังหวะเดียว
 
 
เมื่อต้องการเช็คไปที่ เบสที่1
 
    สำหรับพิชเชอร์มือขวา  ปฏิบัติดังนี้
   
    ยกเท้าขวาถอยหลัง แยกมือที่จับลูกออกจากโกลฟ แล้วหมุนตัวไปยังเบส 1 จะขว้างบอลหรือไม่ขว้างก็ได้
   
    ก้าวสเต็ปเท้าซ้าย ไปยังเบสที่ 1 ทำแบบนี้จะต้องขว้างบอลไปยัง เบสที่ 1 ด้วย ในกรณีนี้อนุโลมให้พิชเชอร์ยกส้นเท้าขวาได้เล็กน้อยเพื่อให้หมุนตัวได้ (ถ้าไม่ยกจะติดพิชเชอร์เพลท) แต่ถ้ายกลอยพ้นพื้นทั้งเท้า แล้ววางลงตำแหน่งเดิมจะเป็นการ “บอล์ค” (Balk) คือการทำผิดกติการของพิชเชอร์
   
   
    สำหรับพิชเชอร์มือซ้าย ปฏิบัติดังนี้
   
   ยกเท้าซ้ายข้ามพิชเชอร์เพลท  แยกมือที่จับลูกออกจากโกลฟ  แล้วจะขว้างบอลหรือไม่ขว้างก็ได้
   
   ก้าวเท้าขวาจังหวะเดียวตรงไป ยังเบสที่ 1 แล้วต้องขว้างบอลไปยังเบสที่ 1 ด้วย ถ้าไม่ขว้างจะเป็นการ “บอล์ค” (Balk) ถ้าพิชเชอร์ยกเท้าขวาเลยแนวสมมุติดกลางลำตัวไป  จะต้องขว้างบอลไปยังผู้ตีเท่านั้น
   
   
 
เมื่อต้องการเช็ค ไปที่ เบส2
 
  ถอยเท้าหลังข้ามพิชเชอร์เพลท แล้วหมุนตัวไปขว้างบอล
   
  ก้าวเท้าหน้าจังหวะเดียวข้าม พิชเชอร์เพลทกลับตรงไปยังเบสที่ 2 ทั้ง 2 วิธี จะขว้างบอลหรือไม่ขว้างก็ได้แต่ต้องก้าวเท้าที่อยู่ด้านหน้าข้ามพิชเชอร์ เพลทตามมาด้วย เมื่อต้องการ เช็ค เบสที่ 3 วิธีการขั้นตอนเหมือนกับการเช็คเบสที่ 1 แต่ให้ปฏิบัติสลับด้านกัน (จากขวาเป็นซ้าย)
   
 

 
Fielding การเล่นเกมรับของพิชเชอร์
          เมื่อขว้างลูกไปแล้วพิชเชอร์ก็มีหน้าที่เสมือนเป็นผู้เล่นฝ่ายรับคนหนึ่ง ต้องพร้อมที่รับมือกับลูกที่พุ่งออกมาจากผู้ตีเสมอ  จึงต้องคิดก่อนว่าถ้าลูกตรงออกมาที่ตัวเองจะเล่นอย่างไรดี  โดยเฉพาะลูกบั้นท์ (Bunt) เป็นลูกที่พิชเชอร์มีโอกาสได้พบบ่อยมากเมื่อมีผู้เล่นฝ่ายรุกบนเบส
 
          ตัวอย่างเช่น  รันเนอร์  บนเบสที่ 1 พิชเชอร์  ต้องคิดทำ Double Play ก่อนเพราะมีความเป็นไปได้สูง ฉะนั้นจึงต้องออกตัววิ่งไปเก็บบอลให้เร็วที่สุดส่วนมากคิดว่าหันข้างรับบอล จะทำให้ขว้างได้เร็วขึ้น  แต่ความจริงพิชเชอร์ควรหันหน้าตรงเข้ารับบอล  เพราะจะเก็บบอลได้แน่นอนกว่าแล้วจึงหมุนตัวขว้างลูก  จะทำให้การขว้างลูกแรงขึ้นด้วย
          ตัวอย่างกรณีที่มีรันเนอร์ที่  เบสที่ 3  บางทีเก็บบอลแล้วจะขว้าง ไม่ทัน  พิชเชอร์จึงต้องส่งบอลคืนให้แคชเชอร์ในจังหวะเดียวคือ  เมื่อรับบอลได้แล้วให้วิ่งต่อไปยังแคชเชอร์  เหวี่ยงแขนให้ลูกพุ่งออกไปจาก Glove โดยใช้กำลังจากขาช่วยในการส่งบอล
 
          ในกรณีที่ลูกถูกตีออกระหว่าง  พิชเชอร์กับเบสที่ 1  (ด้านซ้ายมือของพิชเชอร์มือขวา)  พิชเชอร์จะต้องวิ่งไปช่วยที่เบสที่ 1  ทุกครั้ง  เพราะผู้เล่นเบส 1  จะต้องออกไปเก็บบอล  จึงทำให้ขาดคนทำหน้าที่ตรงนั้น
 
 
 

 
การช่วยเหลือ Back up play
 
          พิชเชอร์จะต้องคิดเสมอว่าเมื่อลูกถูกตีออกไปแล้ว  รันเนอร์จะวิ่งไปที่ไหน  ไปได้ไกลเท่าไร  แล้วจึงไปเตรียมช่วยเหลือในจุดนั้นๆ
 
          ตัวอย่างเช่น  มีรันเนอร์ที่เบสที่ 1 ลูกถูกตีออกไปทางไรท์ฟิลด์ (Right Field) มีความเป็นไปได้สูงที่รันเนอร์จะวิ่งไปถึงเบสที่ 3  และอาจมีการขว้างบอลมาบริเวณนั้นแน่นอน  จึงควรจะไปช่วยเหลือบริเวณหลังเบสที่ 3 (ตามรูป)
 
          หรือตัวอย่างเช่น  รันเนอร์อยู่ที่เบสที่ 2 ลูกถูกตีออกไปที่เอาท์ฟิลด์รันเนอร์น่าจะพยายามวิ่งเข้าโฮมเพื่อทำคะแนน  พิชเชอร์จึงควรที่จะไปช่วยเหลือบริเวณหลังโฮมเพลท  เผื่อในกรณีมีการเล่นผิดพลาด
 
 
            พิชเชอร์  นอกจากจะต้องฝึกขว้างลูกอย่างหนักแล้ว  ยังต้องฝึกฝนในการเล่นเกมรับเสมือนเป็นผู้เล่นฝ่ายรับคนหนึ่งด้วย  นักกีฬาที่ต้องการเป็นพิชเชอร์จึงต้องมีความพยายามอดทน  และทุ่มเทให้กับการฝึกฝนอย่างหนัก เพราะหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในสนามนั้นเป็นภารกิจที่หนัก  มีความสำคัญมาก